QR-Code
สแกนคิวอาร์โค๊ดด้านบนหรือ
คลิ๊กปุ่มด้านล่างได้เลยค่ะ
เพิ่มเพื่อน
ปิด
บทความ
รายการบทความล่าสุด คลิ๊กที่นี่ หากต้องการดูทั้งหมด
พูดภาษาอังกฤษกับลูก

พูดภาษาอังกฤษกับลูก

 

พูดภาษาอังกฤษกับลูก ให้เป็น เด็กสองภาษา

เริ่มต้นด้วยวิธีง่ายๆ พ่อแม่ออกแบบเองได้ ใช้เวลาในการพูดภาษาอังกฤษกับลูกให้เป็นเด็กสองภาษาด้วยวิธีที่มีความสุข แล้วลูกจะไม่ลืม

 

ใครๆก็อยากพูดภาษาอังกฤษได้ และเราพ่อแม่อย่างเราก็อยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษให้เป็นเด็กสองภาษาได้ใช่ไหมคะ แต่ว่าส่วนใญ่การเรียนที่โรงเรียนลูกมักไม่มีโอกาสได้พูดเท่าไหร่นัก ทำให้ลูกไม่ได้พูด ทำให้สื่อสารจริงไม่ได้ เราอยากจะมีพื้นที่ให้ลูกได้ใช้ภาษาอังกฤษแบบสื่อสารจริง เพื่อให้เกิดการทักษะการพูดจริงๆ แต่

- ส่งไปเรียนพิเศษเน้นพูดเลยนะ แต่ว่าแต่ละคลาส เด็กก็เยอะอยู่ดี ลูกไม่ได้พูดเยอะอยู่ดี แล้วใครจะพูดภาษาอังกฤษกับลูกต่อดีล่ะ ก็คงไม่พ้นพ่อแม่ที่ต้องนำสิ่งที่ลูกเรียนมาพูดกับลูกเองเพิ่มชั่วโมงบิน ถ้าอยากให้ลูกพูดคล่องเป็นเด็กสองภาษา เราก็ต้องพูดภาษาอังกฤษกับลูก

- จ้างครูสอนตัวต่อตัว สัปดาห์นึงแค่ 2-3 ชั่วโมง คงไม่พอ ถ้า 5-6 วันเหลือที่ไม่ได้เรียนลูกไม่ได้ฝึกพูด เดี๋ยวก็ลืม จะพูดทีนึงก็ต้องนึกก่อนเหมือนทำข้อสอบ อาจจะจำได้แหละแต่ต้องนึก พูดไม่คล่อง ตอบสนองทันทีแบบคุยปกติไม่ได้ และที่แย่กว่านั้นคือจำไม่ได้ นึกก็ไม่ออก แล้วใครจะพูดภาษาอังกฤษกับลูกต่อในวันที่เหลือที่ไม่มีใครคุยด้วยเพื่อให้ลูกพูดคล่อง ไม่ลืม ก็คงไม่พ้นพ่อแม่อีกแล้ว เราอีกนั่นแหละที่ต้องพูดภาษาอังกฤษกับลูก เพื่อให้ลูกเป็นเด็กสองภาษา

- จ้างครูสอนตัวต่อตัวทุกวัน คุ้มมั้ยกับสิ่งที่ต้องแลกมากับการที่จะหาใครสักคนมาพูดภาษาอังกฤษกับลูก เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา และสายสัมพันธ์ที่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างเรากับลูก หัวข้อนี้สำคัญนะคะ เราส่งลูกไปไหนต่อไหนเอาเวลาที่เราควรได้ใช้ร่วมกันอย่างมีคุณภาพอย่างมีความสุข ใช้เวลาอย่างสิ้นเปลืองไปกับการยัดเยียดสิ่งที่เราอยากเห็นผลลัพธ์จากลูกโดยการส่งลูกไปที่อื่น ทั้งๆที่เราก็ทำได้ รู้ตัวอีกที เราอาจจะมีเวลาคุยกับลูกน้อยกว่าคนอื่น รู้ตัวอีกทีลูกไม่ได้อยู่ในวัยที่ต้องการเราที่สุดอีกต่อไปแล้ว


จะดีกว่ามั้ย ถ้าเราจะพูดภาษาอังกฤษกับลูกให้ลูกเป็นเด็กสองภาษา ทำได้ที่บ้าน ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องขับรถไปส่ง ไม่ต้องเสียเงินเดือนนึงหลายๆหมื่น ทำด้วยวิธีที่มีความสุข ใช้เวลาที่มีค่าของเรากับการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับลูก พ่อแม่มีตัวตนอยู่กับลูกเสมอ โดยที่ลูกไม่รู้สึกว่านี่คือการเรียน ลูกได้ใช้ทักษะการสื่อสารที่แท้จริง และที่สำคัญเราจะรู้ว่าเรื่องไหนที่เราจะได้พูดกับลูกบ่อยๆ เรื่องไหนที่ลูกชอบและชวนคุยได้ง่าย ต่อให้เราส่งลูกไปเรียนที่อื่นและเรายินดีที่จะมาพูดกับลูกต่อที่บ้าน แต่บทเรียนก็ไม่ได้ตอบสนองครอบครัวเราแค่ครอบรัวเดียว จึงเป็นเรื่องยากที่จะมาฝึกพูดกับลูก เพราะประโยคที่เรียนมาไม่ใช่ประโยคที่เราได้ใช้กับลูกจริงๆ หรือได้ใช้ก็ไม่บ่อย

ด้วยเหตุผลต่างๆทั้งหมดนี้ ถ้าเริ่มพูดภาษาอังกฤษกับลูกเองทีบ้าน เราจะไม่เสียเวลาไปเรียนในสิ่งที่ไม่ได้พูด ลูกจะพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ได้มากกว่า เพราะคำว่ายัดเยียดจะหมดไป ดังนั้นเรื่องนี้จึงง่ายขึ้นเยอะ เพราะเราอกแบบเองใช้เอง จากที่เรียนมา 80 ใช้จริงที่บ้านได้แค่ 10 เท่านั้น ต่อไปเราจะเรียนแค่ 10 และใช้แค่ 10 และ 10 นี้ที่ได้ใช้จริง จะเป็น 10 ที่มีคุณภาพมากๆ และต่อยอดเป็น 20-30-40 ได้ไปถึง 100 ไม่ยาก และไม่ลืม


คุณพ่อคุณแม่น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว ว่าการพูดภาษาอังกฤษกับลูกเพื่อให้ลูกเป็นเด็กสองภาษา มันไม่ได้เริ่มยาก เราเริ่มได้เองที่บ้าน และสำหรับคนที่ไม่เก่งภาษาก็หาประโยคในการพูดกับลูกง่ายขึ้น วันนี้เราจะมาดูวิธีเลือกหาประโยคมาใช้กับลูกสำหรับคนที่ไม่เก่งภาษากัน เรียงลำดับจากยุคแรกๆที่มีจนพัฒนาการจนถึงปัจจุบันนะคะ

1. ประโยคภาษาอังกฤษ(ที่ใช่บ่อยๆ) + คำอ่านไทย(ยุคเก่า) ยุคแรกๆ มีการรวบรวมประโยคที่ใช้กับลูกไว้พอสมควร ควรเลือกที่เราได้ใช้จริงๆกับลูก แต่คำอ่านไทยจะไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ พออ่านตามเสียงจึงไม่เหมือนเป็นคนละคำไปเลย เช่น คำว่า dragon คุณพ่อคุณแม่หลายท่านน่าจะมาจากยุคเดียวกัน ที่เราจะอ่านกันว่า “ดรา-ก้อน” ซึ่งมันคนละเสียงคนละคำกันไปเลย

2. ประโยคภาษาอังกฤษ + คำอ่านไทย(ยุคใหม่ถอดเสียงจากสัญลักษณ์ Phonetics )

เนื่องจากเราเจอปัญหาจากข้อที่ 1 จึงมีการทำคำอ่านที่ใกล้เคียงมากขึ้นโดยถอดจาก สัญลักษณ์ Phonetics เช่น dragon มีสัญลักษณ์ Phonetics กำกับเป็น /ˈdræɡ.ən/ สัญลักษณ์ที่เห็น เราควรจะอ่านว่า แดรกกึ้น หรือ ดแรก-อัน หรือ แดร๊กเกิน ประมาณนี้แต่ไม่ใช่ “ดรา-ก้อน” และยิ่งไปกว่านั้นเริ่มมีหลายๆที่ใส่สัญลักษณ์ที่คำอ่านให้เรารู้ด้วยว่าควรลงน้ำหนักเสียงที่ตรงไหน เช่น ‘แดร๊กเกิน หรือ ‘ดแรกเกิน มีสัญลักษณ์ให้เรารู้ว่าคำแรกลงน้ำหนักเสียงด้วยนะ

แต่ก็ยังมีปัญหาอีกอย่างที่ตามมา เพราะตัวอักษรไทยแทนหน่วยเสียงภาษาอังกฤษไม่ได้ทั้งหมด เพราะเราไม่มีเสียงนั้นๆในภาษาไทย เช่น th ตอนทำเสียงนี้ต้องแลบลิ้นด้วย หรือ r เวลาออกเสียงปากจะจู๋ลิ้นไม่แตะอะไรเลย ดังนั้นถ้าเราจะพูดภาษาอังกฤษกับลูก แล้วเรามีแค่ ประโยคภาษาอังกฤษ + คำอ่าน(ที่เสียงใกล้เคียง) ไม่น่าจะพอโดยเฉพาะถ้าเราไม่เก่งภาษา

3. ประโยคภาษาอังกฤษ + คำอ่านไทย(ยุคใหม่ถอดเสียงจากสัญลักษณ์ Phonetics )+เสียง(US/UK)

มีหลายๆที่มีเสียงให้ฟังด้วย เพราะว่าเราเลียนแบบเสียงแล้วพูดตามเสียงจะใกล้เคียงกว่าอ่านคำไทยกำกับทั้งหมด แล้วเราจะลงน้ำหนักเสียงตามที่เราได้ยินได้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เสียงยังมีการแยกสำเนียงให้ด้วย เป็น US และ UK หรือสำเนียงอเมริกันกับสำเนียงอังกฤษ เพราะตอนฝึกเราควรเลือกเลียนแบบสำเนียงใดสำเนียงหนึ่งเพื่อให้ฝึกพูดง่ายไม่สับสน เพราะมีหลายคำที่ออกเสียงไม่เหมือนกัน ทั้งๆที่ก็เขียนเหมือนกัน ความหมายเดียวกัน

เหมือนจะมีครบแล้ว พ่อแม่จำเสียง ฝึกพูดแล้วไปคุยกับลูกได้เลย แต่ว่าปัญหาคือหาปรโยค หาเสียงฟังไม่เจอ เป็นที่มาของข้อต่อไป

4.ประโยคภาษาอังกฤษ + คำอ่านไทย(ยุคใหม่)+เสียง(US/UK)+ระบบค้นหา

เวลาเราจะฝึกเพื่อเราจะพูดภาษาอังกฤษกับลูก ความสะดวกในการค้นหาสำคัญมาก ไม่ใช่ว่ามีทุกอย่างแต่หาไม่เจอก็เหมือนไม่มี เอามาใช้ได้ไม่ทันต่อไปก็จะไม่ได้ใช้ เพราะเราจะรู้สึกลำบากสุดท้ายก็เลือกพูดภาษาอังกฤษกับลูก ดังนั้นระบบค้นหาที่ดีจะช่วยให้เราทำสำเร็จได้ง่าย

5. ประโยคภาษาอังกฤษ + คำอ่านไทย(ยุคใหม่)+เสียง(US/UK)+ระบบค้นหา+ระบบลดสปีดเสียงประโยค

บางคนจะมีปัญหาฟังเสียงประโยคที่จะนำไปคุยกับลูกไม่ทัน เพราะเรายังออกเสียงไม่คล่อง หรือพื้นฐานภาษาอังกฤษเราไม่ได้ดีมากนัก หรือบางประโยคมันยาว มันออกเสียงยาก การมีระบบลดสปีดเสียงประโยค จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ที่แม้ไม่เก่งภาษาฝึกเลียนแบบเสียงประโยคไปใช้พูดภาษาอังกฤษกับลูกได้ง่ายขึ้น


สรุป ถ้าเราเป็นคนนึงที่ไม่เก่งภาษา แต่ต้องการให้ลูกพูดภาษาอังกฤษได้คล่องจากที่บ้าน เราควรจะต้องพูดภาษาอังกฤษกับลูก เราควรเลือกหาแหล่งรวมประโยคที่ใช้พูดกับลูกในชีวิตประจำวันที่มีคุณสมบัติดังดังนี้

1.ประโยคที่ใช้จริงกับลูก
2.คำอ่าน ถอดเสียงจากสัญลักษณ์ Phonetics มี stress(ลงน้ำหนักเสียง) ให้ด้วยยิ่งดี
3.มีเสียงให้ฟัง มีสำเนียง (US/UK) แยกมาให้ด้วยยิ่งดีมากๆ
4.มีระบบค้นหาที่หาได้รวดเร็ว ใช้งานได้ทันที
5.ระบบลดสปีดเสียงประโยคอำนวยความสะดวกให้คนไม่เก่งภาษา

เพียง 599 บาท ก็ได้ทั้งหมดนี้ได้ค่ะ และยังมีคู่มือ วิธีการดึงให้ลูกพูดภาษาอังกฤษออกมาด้วยวิธีที่มีความสุขให้ไปด้วย