เมื่อได้อ่านจนจบเล่ม ถึงเข้าใจแม่กุ้งและเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ การสื่อสารเป็นเรื่องของคนสองคน (หรือมากกว่า) เด็กไม่สามารถพัฒนาการสื่อสารได้ หากไม่มีคนมาโต้ตอบกับเขา การกระตุ้นให้ลูกสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แม่ก็ต้องพูดภาษาอังกฤษได้ และเมื่อแม่ไม่เก่งอังกฤษเลย ก็แปลว่า ภาษาอังกฤษของแม่ก็ต้องค่อยๆดีขึ้นเช่นกัน... หมอชอบประโยคแม่กุ้งว่า เราต้องเดินนำลูก 1 ก้าว... ใช่ค่ะ.. ไม่ว่าจะสอนอะไรลูก เราก็ต้องรู้มากกว่าลูก อย่างน้อยก็ต้อง 1 ก้าว
คำว่าครอบครัว 2 ภาษา ไม่ใช่แค่แม่ลูกพัฒนาภาษาดีขึ้นไปเรื่อยๆ หมอยังชอบแนวคิดและวิธีการสอนของแม่กุ้งที่เน้น “ความสุขของบ้าน” ลูกต้องเรียนรู้อย่างมีความสุข และคนสอนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษเลยก็ต้องไม่เครียด แม่กุ้งมีขั้นตอนที่ลงรายละเอียดดีมากๆ ซึ่งหมอเชื่อว่า คนไม่เก่งภาษาจริงๆ จะหาจุดเริ่มต้นให้ตัวเองได้ และหากมีคนอื่นๆในบ้านมาทำให้ลูกสับสน เช่น พูดไทยคำ อังกฤษคำ หรือ แซวเด็กจนเด็กไม่กล้าพูด แม่กุ้งก็มีวิธีรับมือไม่ให้ผู้ใหญ่เสียใจและลูกก็ยังคงพัฒนาภาษาต่อไปได้เรื่อยๆ เป็นคำแนะนำจากประสบการณ์จริงที่ดีมากค่ะ
????สอนลูกเป็นเด็ก 2 ภาษาอย่างมีความสุข พ่อแม่ไม่เก่งก็สอนได้ถ้ารู้วิธี
???? กระตุ้นพัฒนาการเกี่ยวกับการพูดในภาษาที่ 2 ความเข้าใจในเรื่องนี้ช่วยพ่อแม่ได้เยอะมากในการฝึกลูกเป็นเด็ก 2 ภาษา พ่อแม่แม้จะไม่เก่งภาษาอังกฤษ ก็สามารถกระตุ้นลูกให้สื่อสารออกมาได้จริง ไม่ใช่แค่การท่องจำ ซึ่งเป็นทักษะติดตัวไปตลอดชีวิตของลูก ขอให้พ่อแม่ทำความเข้าใจและลงมือทำ วิธีการสอนอย่างมีความสุข ลูกไม่เครียด พ่อแม่ไม่กดดัน จะช่วยให้คุณพ่อแม่ไปต่อได้โดยที่ไม่เลิกล้มกลางทาง
???? หนังสือเล่มนี้เป็นประสบการณ์จริงของแม่ที่ไม่เก่งภาษามาก่อน สอนลูกโดยยึดพัฒนาการลูก ข้อมูลทางวิชาการ และความสุขของลูกเป็นหลัก
???? นอกจากวิธีการสอนอย่างมีความสุขโดยอ้างอิงหลักวิชาการแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ต้องการ คือประโยคที่ใช้จริงกับลูกในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่วนนี้กุ้งมีรวบรวมไว้ให้หมดแล้ว
อ่านที่แม่กุ้งเขียนมา บวกกับอ่านหนังสือจนจบ หมอขอชื่นชมในความสามารถแม่กุ้ง จากคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษจน พัฒนามาได้ขนาดนี้ สุดยอด! ???? และยังสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือที่ดี มีขั้นตอน มีรายละเอียด มีให้กำลังใจคนอ่านเป็นระยะๆด้วย ดีมากเลย หมอชอบเป็นพิเศษคือ web app. ที่รวมประโยคที่ใช้บ่อยที่ตรงกับบริบทคนไทย เราไม่ต้องคิดเอง ฟังแล้วนำไปใช้ได้เลย สะดวกดีค่ะ ขอชื่นชมจริงๆ ????
ผมเป็นคนหนึ่งที่เติบโตมากับการเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษจนกระทั่งสอบเอ็นทรานซ์เข้าแพทย์ได้ สามารถอ่านตำราแพทย์ อ่านนวนิยายได้บ้าง พูดภาษาแพทย์ได้ พูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดี เพียงเท่านี้ก็รู้สึกได้ว่าตัวเองพลาดหนังสือวรรณกรรมสากลดีๆไปอีกหลายร้อยเล่ม และพลาดโอกาสที่จะได้นำเสนอผลงานวิชาการไปอีกหลายเวที ไม่นับเรื่องโอกาสที่จะได้ไปทำงานต่างประเทศ แม้ว่าเรื่องเหล่านี้บางท่านอาจจะคิดว่าไม่จำเป็น แต่แท้จริงแล้วแม้ว่าจะไม่จำเป็นก็น่าเสียดายว่าเราได้พลาดเรื่องดีๆไปอีกมากมาย
ผมเคยถามลูกสองคนว่าตั้งแต่เกิดจนถึงวันที่พูดภาษาอังกฤษได้วันนี้ หลักสูตรอะไรที่พ่อเคยส่งให้เรียนสมัยเด็กๆที่ดีที่สุด และทำให้พูดได้วันนี้ ทั้งสองคนตอบเหมือนกันว่าไม่มี พวกเขาพูดได้เพราะถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศตัวคนเดียวเป็นเวลาสามเดือนทั้งสองคน เป็นสามเดือนที่ไม่พบคนไทยเลยแม้แต่คนเดียว และพี่น้องไม่ได้พบกันอีกด้วยเนื่องจากไปคนละเวลาคนละประเทศ นั่นคือผลกระทบที่มากที่สุด
ที่น่ามหัศจรรย์มากกว่าคือคุณแม่ของเด็กทั้งสองคน “สื่อสาร” ภาษาอังกฤษกับนักท่องเที่ยว ผู้ป่วยต่างชาติ และฝรั่งที่พบทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ดีกว่าผมมาก แม้ว่าจะ “พูด” ภาษาอังกฤษได้ไม่ชัดเจน และมิได้คำนึงถึงไวยากรณ์อะไรเลย
หนังสือเล่มนี้มิใช่หนังสือวิชาการ คุณแม่กุ้งใช้ความตั้งใจและประสบการณ์ส่วนตัวในการทำงานจริง แล้วเขียนเล่าวิธีทำงานของตัวเองออกมา ภาษาจัดการความรู้เราเรียกว่าเป็นความรู้แฝงในตัวคน คือ tacit knowledge ซึ่งได้จากประสบการณ์ตรง มีความสำคัญไม่น้อยกว่าความรู้ที่เขียนในตำรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราได้ทราบพื้นฐานของคุณแม่กุ้งว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ดีเท่าไรนักมาก่อนเช่นกัน มากไปกว่านั้นคือตั้งใจเขียนให้พ่อแม่คนไทยที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษพอกัน เรื่องจึงน่าท้าทายมากว่าจะเป็นไปได้อย่างไร และทำได้จริงมากน้อยเพียงไร
มีหลักการสำคัญอยู่ 2 ข้อในเรื่องนี้ 1.คือหลักการ 1 คน 1 ภาษา 2.คือเรื่องการออกเสียงหน่วยเสียง(Phonetics)หากจะมีอะไรที่เป็นหลักวิชาการที่สำคัญของคุณแม่กุ้งคือสองเรื่องนี้ ซึ่งคุณแม่กุ้งมิได้ผ่านเลย หากจะถามว่างานสอนลูกพูดภาษาอังกฤษง่ายจริงหรือคำตอบคือไม่ง่ายหรอก จะอย่างไรคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องตั้งใจจริงและเอาจริงก่อนเป็นอย่างแรก และมีหลักการพื้นฐานสองข้อนี้เป็นปฐม คือเรื่อง 1 คน 1 ภาษากับเรื่องหน่วยเสียง(Phonetics) ทั้งสองเรื่องนี้มิใช่จะได้มาง่ายนัก แต่คุณแม่กุ้งได้นำทางเอาไว้ให้แล้วว่าควรทำอย่างไรจึงจะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบ้านที่ทั้งพ่อและแม่มิได้เก่งภาษาอังกฤษเลยสักคนเดียว
ผมเคยสอบถามนักเรียนทุนบางคนว่าการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยที่ไหนดีที่สุด เกือบทุกคนเอ่ยชื่อโรงเรียนนานาชาติบางชื่อออกมา และเพิ่มเติมว่าที่เหลือทำได้เพียงพูด อ่าน และเขียนได้ระดับหนึ่งแต่ไม่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสำเนียง ดังนั้นหากเราเป็นพวกจะอย่างไรก็ไม่มีทางส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติอันดับหนึ่งในประเทศไทยได้ ไม่นับว่าที่จริงต้นทุนก็มีไม่มากอีกต่างหาก ผมได้แต่ยืนยันว่าการพูด อ่าน และเขียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องจำเป็นจริง ดังนั้นลองดูสักตั้ง ด้วยวิธีสักวิธี ที่เราสะดวกใจ ใช้ทุนไม่มากเกินไป และมีความสุขระหว่างที่ทำ
คุณแม่กุ้งได้อธิบายเรื่อง “สำเนียง” อย่างละเอียดในหนังสือแล้ว ผมดูหนังที่สร้างจากประเทศอังกฤษมากพอๆกับหนังที่สร้างจากฮอลลีวู้ดจนกระทั่งจับได้เองว่าสำเนียงอังกฤษเป็นอย่างไร ผมดูหนังสก๊อตแลนด์แท้ๆจำนวนพอสมควรด้วยจนกระทั่งจับสำเนียงของสก๊อตแลนด์ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งได้หนังที่สร้างจากกลาสโกวแท้ๆมาดู จึงเข้าใจเรื่องที่หลายคนเคยบอกผมว่าสำเนียงกลาสโกวเป็นอย่างไร ช่างฟังยากเสียจริงๆ รู้เช่นนี้แล้วจึงเลิกกังวลเรื่องสำเนียงของตัวเองไปมาก เพราะที่แท้พวกเขามีหลายสำเนียงที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
หลายปีที่มีโอกาสประชุมต่างประเทศแม้ว่าจะไม่มากมายอะไร แต่ทุกครั้งพบว่านักวิชาการจากไทย ญี่ปุ่น หรืออินเดีย มีสำเนียงที่ผมแอบหัวเราะในใจแต่หัวเราะไม่ออกเมื่อพบว่าพวกเขาพูดกับฝรั่งรู้เรื่อง ทั้งบนเวทีประชุมหรืองานเลี้ยงค็อกเทล ในขณะที่ตัวผมเองเสียอีกที่พูดอะไรออกไปมีฝรั่งไม่เข้าใจเสียมาก สาเหตุหนึ่งเพราะตัวเองกังวลไวยากรณ์มากเกินไป ไวยากรณ์ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้จะเขียนถึง
สมมติว่าคุณพ่อคุณแม่หมดใจ พูดง่ายๆว่าผมเชียร์อย่างไรก็ไม่ขึ้น คุณแม่กุ้งให้กำลังใจเท่าไรก็ไม่เอา ทุนก็ไม่มี พื้นฐานก็ไม่มี แม้กระทั่งเวลาก็ไม่มี ผมขอใช้เนื้อที่ตรงนี้เรียนย้ำและให้กำลังใจว่าภาษาแม่สำคัญที่สุดอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นหาเวลาอย่างน้อย 30 นาทีทุกคืนอ่านนิทานก่อนนอนภาษาไทยให้ลูกฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ ภาษาแม่ที่ดีนำไปสู่โครงสร้างภาษาในสมองที่ดี แล้วโครงสร้างภาษาในสมองที่ดีนั้นเองจะช่วยให้เขาเติมภาษาที่สองได้ไม่ยากเมื่อสบโอกาสดังที่ลูกสองคนของผมประสบ
ภาษาเป็นสัญลักษณ์ คือ symbol โครงสร้างภาษาในสมองเป็นระบบสัญลักษณ์ คือ symbolization ดังนั้นอย่ากังวลว่าเราว่างเปล่า เพราะภาษาสร้างขึ้นจากความว่างเปล่าอยู่ก่อนแล้ว จึงมีคำกล่าวว่าหนังสือนิทานที่เหมาะสมมีภาษาเดียวก็พอเพื่อให้เด็กได้เห็นลายเส้นอักขระ และได้ยินเสียงระบบเดียวโดยไม่ถูกรบกวน
ผมพูดเสมอด้วยว่าการเล่นสมมติหรือบทบาทสมมติ (pretend play &role play) เป็นการละเล่นที่พัฒนาภาษาได้ดีมากที่สุด เหตุหนึ่งเพราะระหว่างที่เล่นคุณพ่อคุณแม่ต้องพูดด้วยเสมอ นั่นสมมติเป็นนี่ นี่สมมติเป็นนั่น เด็กจะพูดตามโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราพูดภาษาอังกฤษระหว่างเล่นสมมติจึงได้ประโยชน์สองต่อ อีกเหตุหนึ่งเป็นไปตามที่คุณแม่กุ้งเขียนเอาไว้ตอนหนึ่งว่าในบ้านที่มีญาติหลายคน การจัดสถานที่และเวลาให้มีการพูดภาษาอังกฤษเต็มร้อยหนึ่งช่วงเวลาเป็นประจำช่วยได้มาก เช่น ในห้องน้ำระหว่างทำกิจกรรมกับลูกร่วมกัน เป็นต้น อีกตัวอย่างหนึ่งคือในสถานที่ที่เราเล่นบทบาทสมมติเป็นภาษาอังกฤษกับลูกสองต่อสอง ภาษาเป็นสิ่งสมมติตั้งแต่แรก มันไม่เคยมีมาก่อนจนกระทั่งคนแต่ละชาติสมมติมันขึ้นมา คนไทยและคนอังกฤษสมมติลายเส้นของภาษาและวิธีออกเสียงที่ต่างกัน ไม่มีใครผูกขาดตัวภาษาได้จริงๆ อย่างมากก็ทำได้แค่รักษาสำเนียงของภาษาแม่เอาไว้เท่านั้น
จะเห็นว่าความรู้เรื่องภาษาเป็นเรื่องซับซ้อน ปัญหาคือเราถูกทำให้เชื่อว่ามันซับซ้อนเกินกว่าที่ใครจะพูดเองได้โดยไม่ต้องเรียน แม่กุ้งได้ใช้ความพยายามอธิบายตั้งแต่ช่วงแรกของหนังสือว่าภายใต้ความซับซ้อนที่เราเห็นเป็นเพียงเปลือกนอก แท้จริงแล้วมันมิได้ซับซ้อนมากเพียงนั้น
ประสบการณ์ในวัยเยาว์ที่แม่เองได้เรียนภาษาอังกฤษตอน ป.5 แน่ะ ทำให้อ่อนด้อยในภาษานี้เหลือเกิน ตอนแรกก็รู้สึกเก่งในมุมของตัวเอง ไวยากรณ์ได้ ศัพท์ได้ แต่ทำไมพูดไม่เก่ง ... เพราะฉันไม่กล้า เจอฝรั่งทีไร ก็ต้องวิ่งหนี 4x100 ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่???? ทำได้แค่เพียง พอจะอ่านออก เขียนได้ สอบผ่าน แต่ไม่กล้าพูดค่ะ จึงไม่อยากให้ลูกมีประสบการณ์แบบตัวเองเช่นกัน .... ????#ภาษาอังกฤษแม้ไม่ใช่ภาษาแม่ แต่ถ้าอ่านออก เขียนได้ และพูดคล่อง น่าจะได้เปรียบมากในยุคปัจจุบัน .... ✖️สิ่งที่เป็นอุปสรรคในบ้านที่พ่อแม่เองก็ไม่เก่งและไม่คล่องกับภาษาอังกฤษ หมอคิดว่า 1. ไม่มีความมั่นใจที่จะพูด หรือแม้แต่จะอ่านให้ลูกฟัง 2. เก้ๆกังๆ ง่า ออกเสียงถูกมั้ยนะ 3. งั้นรอก่อนดีกว่า จึงยังไม่ได้เริ่มเสียที T T
⭐️อายุแรกเกิด-7 ปี #เวลาทองในการฝึกภาษาอังกฤษให้ลูกน้อย ดร.แพทริเซีย คัห์ล (Dr.Patricia Kuhl) แห่ง มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เผยผลจากงานวิจัยว่า “มนุษย์เราสามารถเรียนรู้ภาษาต่างประเทศได้ดีที่สุดในช่วงอายุแรกเกิด-7ปี”
⭐️การจะฝึกลูกเป็นเด็ก 2 3 4... ภาษา เราสามารถเริ่มได้เลย เมื่อพร้อม #ยิ่งเริ่มไวก็ยิ่งดี พัฒนาการด้านภาษาของลูกพัฒนาการมากสุดในช่วง 7 ขวบปีแรก แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สายที่จะเรียนรู้แน่นอนค่า
⭐️มาเริ่มต้นจากตัวเองก่อน เรียนรู้และฝึกฝนไปพร้อมกับลูก อ่านนิทาน พูดคุยประโยคง่ายๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ลูกค่อยๆเรียนรู้และจดจำ ศัพท์บางคำแม่ก็เพิ่งรู้ความหมายและการออกเสียงที่ถูกต้องตอนอ่านกับลูกเช่นกันค่ะ 555 แอบไปเปิดคำศัพท์ คำอ่าน และการออกเสียงในกูเกิ้ล ...
???? คำถามที่หมอเจอบ่อยในช่วงนี้ เพราะทุกวันนี้ ภาษาอังกฤษ สำคัญมากจนแทบจะเรียกว่า เป็น"ประตูสู่โอกาสของอนาคตลูก" เลยก็ได้
???? หมอยืนยันว่า พ่อแม่ไม่เก่งอังกฤษ ก็สามารถเลี้ยงลูกสองภาษาได้ค่ะ ????
???? #แม่กุ้ง เป็นหนึ่งในตัวอย่างของคุณแม่ที่ไม่ได้เก่งอังกฤษเลย แต่สามารถประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกสองภาษา และได้นำเคล็ดลับเหล่านี้มาแบ่งปันให้พ่อแม่ท่านอื่น ซึ่งหมอเชื่อว่า แม่กุ้งยังเป็นแรงบันดาลใจที่ดีสำหรับพ่อแม่ที่ไม่ได้เก่งอังกฤษเลยเช่นเดียวกันได้
???? สิ่งที่แม่กุ้งย้ำเสมอ คือเรื่อง"ความสุขของลูก" ซึ่งเป็นจริงที่สุดตามหลักการเรียนรู้ของสมองค่ะ เพราะถ้าลูกไม่มีความสุข ไม่สนุกกับมัน สมองจะเรียนรู้สิ่งนั้นได้ไม่ดี จดจำได้ไม่นาน และต่อยอดได้ไม่ดี แต่ .. จะมีความสุขยังไง? ให้ได้ความรู้ และมีสาระ แม่กุ้งมีคำตอบให้ในหนังสือแล้ว
???? สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ยังกลัวอยู่ ไม่กล้าเริ่มฝึกพูดภาษาอังกฤษ กลัวพูดผิด กลัวออกเสียงได้ไม่ดี .. แม่กุ้งแนะนำว่าเราแค่ "เดินนำหน้าลูกหนึ่งก้าว" พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเก่ง ไม่ต้องมีไวยากรณ์ที่เพอร์เฟค ไม่จำเป็นต้องออกเสียงเป๊ะทุกคำ เราแค่นำหน้าลูกเพียงหนึ่งก้าว เพื่อสอนเค้าให้ก้าวตาม .. ก็เพียงพอแล้ว
???? ขอบคุณหนังสือดีๆ ที่นอกจากสอนภาษาสำหรับพ่อแม่ ยังได้เคล็ดลับและแรงบันดาลใจดีๆ จากแม่คนหนึ่งที่ไม่เก่งอังกฤษเลย แต่วันนี้สามารถมาเขียนหนังสือวิธีเลี้ยงลูกสองภาษาได้
???? นอกจากนี้ยังมี web app ที่สะดวก สามารถเซิร์ชหาคำ และการออกเสียงที่ถูกต้องได้เลย บนมือถือ เซิร์ชได้ทันที ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งอันนี้หมอชอบมาก
ปัจจุบัน ปี 2021 เป็นยุคแห่งเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีได้ก้าวไปไกลมาก เทียบกับสมัยที่เราเป็นเด็กๆ ไม่ได้เลย งานหลายๆ อย่างทำสำเร็จได้ด้วยเพียง smart phone เครื่องเดียว เช่นเดียวกับการติดต่อสื่อสาร ซึ่งไม่มีพรมแดนมาจำกัด ผู้คนทั่วทุกมุมโลกสามารถติดต่อสื่อสารได้ เพียงปลายนิ้ว ดังนั้น ภาษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เกิดการลื่นไหลในการสื่อสาร เราทุกคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาสากลที่ผู้คนใช้ติดต่อสื่อสารกันมากที่สุดในโลก หากใครสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษพอได้ หรือได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว จะได้เปรียบคนอื่นๆ อย่างมหาศาล แต่หลายคน คงประสบพบเจอกับปัญหาโลกแตก คือพวกเราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ระดับประถม จนจบมหาวิทยาลัย แต่เรากลับสื่อสารภาษาอังกฤษกันไม่ได้ นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะเราไม่รู้จะไปพูดกับใครหรือเปล่า เรียนที่โรงเรียน กลับมาบ้านก็พูดแต่ภาษาไทยอยู่ดี กลับไปเรียนวิชาภาษาอังกฤษอีกที หนึ่งสัปดาห์ถัดไป ก็พบว่า เราลืมสิ่งที่เรียนมาหมดแล้ว
ดังนั้น การเรียนภาษาอังกฤษที่ดี คือการฝึกฝน และนำไปใช้ ไม่ใช่แค่ท่องๆ อยู่แต่ในตำรา และคงจะดีมากหากเราเริ่มมันในครอบครัว
หนังสือ "ปั้นครอบครัว 2 ภาษา พ่อแม่ไม่เก่งภาษาก็ทำได้" ของแม่กุ้งเล่มนี้ ผมได้อ่านจนจบแล้ว พบว่าเป็นคู่มือที่ดีมากๆ เล่มนึงเลยทีเดียว ที่แม่กุ้งได้ตีโจทย์แตก ถึงปัญหาที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ในหนังสือเล่มนี้แม่กุ้งได้อธิบายว่า เราจะสามารถสอนลูกอย่างไรให้เก่งภาษา พร้อมกับความสุข ทั้งจากตัวลูกที่ไม่ถูกกดดันจนเกินไป และพ่อแม่ที่ไม่รู้สึกกดดันตัวเองเช่นกัน และการเริ่มสอนภาษาอังกฤษในครอบครัว ให้กับลูกตั้งแต่วัยเตาะแตะ มักจะประสบความสำเร็จมากกว่ามาเริ่มตอนโต เพราะเด็กกำลังอยู่ในวัยเรียนรู้ ช่างจำ หากเราสอดแทรกภาษาอังกฤษทุกๆ วัน ทำซ้ำๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน จะทำให้เด็กจะมีความสุข และไม่รู้สึกว่ามันคือการถูกบังคับให้เรียนหนังสือ สุดท้าย หนังสือจะดีหรือมีประโยชน์ อยู่ที่ว่าเราได้อ่านและนำสิ่งที่เราเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้หรือไม่ แต่หากพ่อแม่ทุกท่านที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วนำไปปฏิบัติใช้กับลูกๆ ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะมีเด็กที่พูดภาษาอังกฤษได้เก่งขึ้น อีกหนึ่งคนอย่างแน่นอนครับ
หนังสือเล่มนี้ ได้รวมเนื้อหาการสอนลูกพูดภาษาอังกฤษกับพัฒนาการด้านการพูดไว้ด้วยกัน อ้างอิงข้อมูลต่างๆซึ่งบางข้อมูลเราก็อาจจะไม่เคยนึกถึง และเมื่ออ่านแล้วทำให้เราเห็นภาพของขั้นตอนต่างๆก่อนที่เราจะมีทักษะในการพูดภาษาใดภาษาหนึ่งออกมา และนำมาประยุกต์ใช้กับการสอนภาษาอังกฤษในเด็กไทยโดยพ่อแม่ ซึ่งเนื้อหาค่อนข้างละเอียด เมื่ออ่านจนเข้าใจแล้ว จะนำไปประยุกต์ใช้งานจริงและง่าย ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสที่ดีมากๆให้กับพ่อแม่ โดยเฉพาะพ่อแม่ที่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง หรือพ่อแม่ที่เคยทำแล้วท้อ หรือเหนื่อยกับการพยายามทำในสิ่งที่ยากเกินไป
หนังสือเล่มนี้ทำให้รู้ว่า การสอนลูกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนกลุ่มเล็กๆที่มีความพร้อมมากกว่าคนอื่นๆ แต่จริงๆแล้วคุณพ่อคุณแม่ทุกคนก็สามารถทำได้ ถ้ารู้วิธีที่ถูกต้อง
แม่กุ้ง เป็นผู้มีความสนใจเรื่องเด็กสองภาษามานานมากเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ยังไม่มีลูก(น้องกูเกิ้ล) ศึกษาข้อมูลทั้งในประเทศและต่างประเทศ มาถึงวันนี้ที่แม่กุ้งมีลูกเอง ประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งหมด ได้นำมาใช้ปฏิบัติจริงด้วยความตั้งใจ ทำให้สัมฤทธิ์ผลเป็นเด็กสองภาษา ที่น่ารัก และ หนังสือเล่มนี้ มีทั้งความรู้ทฤษฎี วิธีปฏิบัติที่ใช้ได้จริงและ (ใช้มาแล้ว) เป็นแบบอย่างและแนวทางให้คุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีความสุข
ในยุคปัจจุบันมีหลายครอบครัวที่กำลังพัฒนา สอนลูก 2 ภาษา เพื่อสร้างพื้นฐานให้กับลูกในอนาคต ซึ่งในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ อาจท้อหรือไม่ทราบว่าจะไปต่อทางไหนดีจึงอาจทำให้หยุดการสอนลูกให้เป็นเด็ก 2 ภาษาลงอย่างน่าเสียดาย หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมเนื้อหา ขั้นตอนและวิธีการสอน ที่สามารถทำให้คุณพ่อคุณแม่ ที่มีความสนใจในการสอนลูก 2 ภาษานำไปประยุกต์ใช้ ได้ประโยชน์จริงๆโดยที่ผู้เขียนนั้นได้แบ่งปันประสบการณ์โดยตรงที่ปฏิบัติจริง เห็นผลจริงมีข้อมูลทางวิชาการอ้างอิง
ดิฉันเป็นคุณแม่คนหนึ่งที่ต้องการสอนลูก 2 ภาษา เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วทำให้มีแนวทางในการจะทำให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษโดยที่แม่ก็มีความสุขลูกก็มีความสุข ทำให้รู้ว่าความสำเร็จในการสอนลูก 2 ภาษาไม่ได้จำกัดเฉพาะในบุคคลที่มีความรู้และเก่งภาษาอังกฤษเท่านั้นเราทุกคนสามารถทำได้
ครูได้เห็นน้องกูเกิ้ลตั้งแต่เล็กๆ น้องเก่งมาก พูดภาษาอังกฤษได้ตั้งแต่อายุไม่ถึง 3 ขวบ ซึ่งเป็นวัยก่อนเข้าอนุบาล น้องพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนเป็นภาษาที่ง่าย พูดคุยกับคุณแม่เป็นภาษาอังกฤษได้อย่างธรรมชาติ คล่องเหมือนพูดภาษาไทยเลย ซึ่งภาษาไทยน้องก็พูดเก่งตามวัยของเขาด้วยเช่นกัน
ครั้งแรกๆที่ได้เห็น ครูก็รู้สึกแปลกใจ ที่เห็นว่าน้องเข้าใจคำถาม และตอบโต้กับคุณแม่ได้อย่างเข้าใจ ยิ้ม หัวเราะ สนุกสนาน พอได้พูดคุยกับแม่กุ้งซึ่งเป็นคุณแม่ของน้องกูเกิ้ล ครูจึงเข้าใจ ว่าแม่กุ้งมีวิธีการสอนน้องอย่างไร โดยแม่กุ้งเข้าใจถึงเรื่องพัฒนาการของเด็ก จึงนำมาใช้กับการฝึกภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อให้เกิดพัฒนาการด้านภาษาได้อย่างเหมาะสมตามวัย และตอนนี้แม่กุ้งได้ถ่ายทอดความรู้ออกมาเป็นหนังสือ ซึ่งมีวิธีการให้คุณพ่อคุณแม่ปฏิบัติตามได้ง่าย ละเอียดเป็นขั้นเป็นตอน ด้วยภาษาที่อ่านง่าย จึงอยากแนะนำให้ผู้ปกครองทุกท่านที่อยากสอนลูกพูดภาษาอังกฤษให้เป็นเด็กสองภาษาอย่างสนุกและง่ายเป็นธรรมชาติ ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วเรื่องการสอนลูกพูดภาษาอังกฤษให้เป็นเด็กสองภาษาจะเป็นเรื่องง่ายมากเลยค่ะ
ในฐานะคุณแม่ลูก 2 อย่างเรา ต้องยอมรับเลยว่าอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกมาไม่ต่ำกว่า 10 เล่ม ยังไม่รวมถึง course online ต่างๆอีก แต่ประเด็นหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยจริงๆ คือ เรื่องของภาษาที่ 2 นั่นก็คือภาษาอังกฤษนั่นเอง ซึ่งบอกได้เลยว่าสำคัญไปไม่น้อยกว่าการสร้าง EF ที่เราควรเริ่มตั้งแต่เด็กๆเลย หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ถึงกับต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ว่าจริงๆแล้วภาษาอังกฤษไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่เราสร้างกำแพงมาตลอด เราสามารถสร้างลูก 2 ภาษาได้ด้วยตัวของคุณพ่อคุณแม่เองนี่แหละ จากที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องของการเรียนพิเศษ เป็นหน้าที่ของ teacher จึงส่งลูกไปเรียนกับคุณครูต่างชาติตั้งแต่เด็กๆ ต่อไปนี้ เราในฐานะคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดลูกที่สุดจะเป็นผู้สร้างลูก 2 ภาษา ได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญลูกก็จะมีความสุขด้วย ตามชื่อหนังสือเล่มนี้เลยค่ะ แนะนำจากใจจริงๆค่ะ
ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมีทักษะภาษาที่สองที่ดี โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ นับเป็นกุญแจสำคัญที่เปิดประตูโอกาสต่างๆ โดยเฉพาะกับเด็กๆ ใน generation ยุคใหม่นี้
ในฐานะที่เป็นคุณแม่มือใหม่ที่ยังขาดความมั่นใจในการสอนภาษาที่ 2 ให้แก่ลูก หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้สร้างความมั่นใจได้มากขึ้นว่า หากเรามีความพยายามเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูก ย่อมฝึกเด็ก 2 ภาษา ให้เกิดขึ้นได้ในครอบครัวของเรา เรียนรู้ภายใต้ความรักและความสนุกสนานไปพร้อมๆ กัน นอกจากจะสร้างทักษะด้านวิชาการแล้วยังเพิ่มพูนความรักความผูกพันภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
หนังสือเล่มนี้ แม่กุ้งเขียนและสื่อสารออกมาอย่างเข้าใจง่ายและใช้ได้จริง อีกทั้งยังมีตัวอย่างประโยคและกิจกรรมผ่านทาง E-book ประกอบการใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย นับว่าเป็นส่วนสำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับแม่ทุกท่านเลยค่ะ
เมื่อได้อ่านจนจบเล่ม ถึงเข้าใจแม่กุ้งและเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ การสื่อสารเป็นเรื่องของคนสองคน (หรือมากกว่า) เด็กไม่สามารถพัฒนาการสื่อสารได้ หากไม่มีคนมาโต้ตอบกับเขา การกระตุ้นให้ลูกสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แม่ก็ต้องพูดภาษาอังกฤษได้ และเมื่อแม่ไม่เก่งอังกฤษเลย ก็แปลว่า ภาษาอังกฤษของแม่ก็ต้องค่อยๆดีขึ้นเช่นกัน... หมอชอบประโยคแม่กุ้งว่า เราต้องเดินนำลูก 1 ก้าว... ใช่ค่ะ.. ไม่ว่าจะสอนอะไรลูก เราก็ต้องรู้มากกว่าลูก อย่างน้อยก็ต้อง 1 ก้าว
คำว่าครอบครัว 2 ภาษา ไม่ใช่แค่แม่ลูกพัฒนาภาษาดีขึ้นไปเรื่อยๆ หมอยังชอบแนวคิดและวิธีการสอนของแม่กุ้งที่เน้น “ความสุขของบ้าน” ลูกต้องเรียนรู้อย่างมีความสุข และคนสอนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษเลยก็ต้องไม่เครียด แม่กุ้งมีขั้นตอนที่ลงรายละเอียดดีมากๆ ซึ่งหมอเชื่อว่า คนไม่เก่งภาษาจริงๆ จะหาจุดเริ่มต้นให้ตัวเองได้ และหากมีคนอื่นๆในบ้านมาทำให้ลูกสับสน เช่น พูดไทยคำ อังกฤษคำ หรือ แซวเด็กจนเด็กไม่กล้าพูด แม่กุ้งก็มีวิธีรับมือไม่ให้ผู้ใหญ่เสียใจและลูกก็ยังคงพัฒนาภาษาต่อไปได้เรื่อยๆ เป็นคำแนะนำจากประสบการณ์จริงที่ดีมากค่ะ
เมื่อหมอถามเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ แม่กุ้งตอบมาแบบนี้????สอนลูกเป็นเด็ก 2 ภาษาอย่างมีความสุข พ่อแม่ไม่เก่งก็สอนได้ถ้ารู้วิธี
???? กระตุ้นพัฒนาการเกี่ยวกับการพูดในภาษาที่ 2 ความเข้าใจในเรื่องนี้ช่วยพ่อแม่ได้เยอะมากในการฝึกลูกเป็นเด็ก 2 ภาษา พ่อแม่แม้จะไม่เก่งภาษาอังกฤษ ก็สามารถกระตุ้นลูกให้สื่อสารออกมาได้จริง ไม่ใช่แค่การท่องจำ ซึ่งเป็นทักษะติดตัวไปตลอดชีวิตของลูก ขอให้พ่อแม่ทำความเข้าใจและลงมือทำ วิธีการสอนอย่างมีความสุข ลูกไม่เครียด พ่อแม่ไม่กดดัน จะช่วยให้คุณพ่อแม่ไปต่อได้โดยที่ไม่เลิกล้มกลางทาง
???? หนังสือเล่มนี้เป็นประสบการณ์จริงของแม่ที่ไม่เก่งภาษามาก่อน สอนลูกโดยยึดพัฒนาการลูก ข้อมูลทางวิชาการ และความสุขของลูกเป็นหลัก
???? นอกจากวิธีการสอนอย่างมีความสุขโดยอ้างอิงหลักวิชาการแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ต้องการ คือประโยคที่ใช้จริงกับลูกในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่วนนี้กุ้งมีรวบรวมไว้ให้หมดแล้ว
อ่านที่แม่กุ้งเขียนมา บวกกับอ่านหนังสือจนจบ หมอขอชื่นชมในความสามารถแม่กุ้ง จากคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษจน พัฒนามาได้ขนาดนี้ สุดยอด! ???? และยังสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือที่ดี มีขั้นตอน มีรายละเอียด มีให้กำลังใจคนอ่านเป็นระยะๆด้วย ดีมากเลย หมอชอบเป็นพิเศษคือ web app. ที่รวมประโยคที่ใช้บ่อยที่ตรงกับบริบทคนไทย เราไม่ต้องคิดเอง ฟังแล้วนำไปใช้ได้เลย สะดวกดีค่ะ ขอชื่นชมจริงๆ ????
สรุปสั้นๆ หนังสือเล่มนี้ จะช่วยพัฒนาลูกและแม่ให้สื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างมีความสุข, ไม่กดดันตัวเอง, ไม่เครียด เราแม่ลูกต้องเก่งและมีความสุขไปด้วยกันค่ะ ✌️
ผมเป็นคนหนึ่งที่เติบโตมากับการเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษจนกระทั่งสอบเอ็นทรานซ์เข้าแพทย์ได้ สามารถอ่านตำราแพทย์ อ่านนวนิยายได้บ้าง พูดภาษาแพทย์ได้ พูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดี เพียงเท่านี้ก็รู้สึกได้ว่าตัวเองพลาดหนังสือวรรณกรรมสากลดีๆไปอีกหลายร้อยเล่ม และพลาดโอกาสที่จะได้นำเสนอผลงานวิชาการไปอีกหลายเวที ไม่นับเรื่องโอกาสที่จะได้ไปทำงานต่างประเทศ แม้ว่าเรื่องเหล่านี้บางท่านอาจจะคิดว่าไม่จำเป็น แต่แท้จริงแล้วแม้ว่าจะไม่จำเป็นก็น่าเสียดายว่าเราได้พลาดเรื่องดีๆไปอีกมากมาย
ที่สำคัญกว่าคือไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองพลาดอะไรไปผมเคยถามลูกสองคนว่าตั้งแต่เกิดจนถึงวันที่พูดภาษาอังกฤษได้วันนี้ หลักสูตรอะไรที่พ่อเคยส่งให้เรียนสมัยเด็กๆที่ดีที่สุด และทำให้พูดได้วันนี้ ทั้งสองคนตอบเหมือนกันว่าไม่มี พวกเขาพูดได้เพราะถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศตัวคนเดียวเป็นเวลาสามเดือนทั้งสองคน เป็นสามเดือนที่ไม่พบคนไทยเลยแม้แต่คนเดียว และพี่น้องไม่ได้พบกันอีกด้วยเนื่องจากไปคนละเวลาคนละประเทศ นั่นคือผลกระทบที่มากที่สุด
ที่น่ามหัศจรรย์มากกว่าคือคุณแม่ของเด็กทั้งสองคน “สื่อสาร” ภาษาอังกฤษกับนักท่องเที่ยว ผู้ป่วยต่างชาติ และฝรั่งที่พบทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ดีกว่าผมมาก แม้ว่าจะ “พูด” ภาษาอังกฤษได้ไม่ชัดเจน และมิได้คำนึงถึงไวยากรณ์อะไรเลย
พอจะนึกภาพออกมั้ยครับว่าอะไรเป็นอะไรหนังสือเล่มนี้มิใช่หนังสือวิชาการ คุณแม่กุ้งใช้ความตั้งใจและประสบการณ์ส่วนตัวในการทำงานจริง แล้วเขียนเล่าวิธีทำงานของตัวเองออกมา ภาษาจัดการความรู้เราเรียกว่าเป็นความรู้แฝงในตัวคน คือ tacit knowledge ซึ่งได้จากประสบการณ์ตรง มีความสำคัญไม่น้อยกว่าความรู้ที่เขียนในตำรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราได้ทราบพื้นฐานของคุณแม่กุ้งว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ดีเท่าไรนักมาก่อนเช่นกัน มากไปกว่านั้นคือตั้งใจเขียนให้พ่อแม่คนไทยที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษพอกัน เรื่องจึงน่าท้าทายมากว่าจะเป็นไปได้อย่างไร และทำได้จริงมากน้อยเพียงไร
มีหลักการสำคัญอยู่ 2 ข้อในเรื่องนี้ 1.คือหลักการ 1 คน 1 ภาษา 2.คือเรื่องการออกเสียงหน่วยเสียง(Phonetics)หากจะมีอะไรที่เป็นหลักวิชาการที่สำคัญของคุณแม่กุ้งคือสองเรื่องนี้ ซึ่งคุณแม่กุ้งมิได้ผ่านเลย หากจะถามว่างานสอนลูกพูดภาษาอังกฤษง่ายจริงหรือคำตอบคือไม่ง่ายหรอก จะอย่างไรคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องตั้งใจจริงและเอาจริงก่อนเป็นอย่างแรก และมีหลักการพื้นฐานสองข้อนี้เป็นปฐม คือเรื่อง 1 คน 1 ภาษากับเรื่องหน่วยเสียง(Phonetics) ทั้งสองเรื่องนี้มิใช่จะได้มาง่ายนัก แต่คุณแม่กุ้งได้นำทางเอาไว้ให้แล้วว่าควรทำอย่างไรจึงจะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบ้านที่ทั้งพ่อและแม่มิได้เก่งภาษาอังกฤษเลยสักคนเดียว
ผมเคยสอบถามนักเรียนทุนบางคนว่าการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยที่ไหนดีที่สุด เกือบทุกคนเอ่ยชื่อโรงเรียนนานาชาติบางชื่อออกมา และเพิ่มเติมว่าที่เหลือทำได้เพียงพูด อ่าน และเขียนได้ระดับหนึ่งแต่ไม่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสำเนียง ดังนั้นหากเราเป็นพวกจะอย่างไรก็ไม่มีทางส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติอันดับหนึ่งในประเทศไทยได้ ไม่นับว่าที่จริงต้นทุนก็มีไม่มากอีกต่างหาก ผมได้แต่ยืนยันว่าการพูด อ่าน และเขียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องจำเป็นจริง ดังนั้นลองดูสักตั้ง ด้วยวิธีสักวิธี ที่เราสะดวกใจ ใช้ทุนไม่มากเกินไป และมีความสุขระหว่างที่ทำ
คุณแม่กุ้งได้อธิบายเรื่อง “สำเนียง” อย่างละเอียดในหนังสือแล้ว ผมดูหนังที่สร้างจากประเทศอังกฤษมากพอๆกับหนังที่สร้างจากฮอลลีวู้ดจนกระทั่งจับได้เองว่าสำเนียงอังกฤษเป็นอย่างไร ผมดูหนังสก๊อตแลนด์แท้ๆจำนวนพอสมควรด้วยจนกระทั่งจับสำเนียงของสก๊อตแลนด์ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งได้หนังที่สร้างจากกลาสโกวแท้ๆมาดู จึงเข้าใจเรื่องที่หลายคนเคยบอกผมว่าสำเนียงกลาสโกวเป็นอย่างไร ช่างฟังยากเสียจริงๆ รู้เช่นนี้แล้วจึงเลิกกังวลเรื่องสำเนียงของตัวเองไปมาก เพราะที่แท้พวกเขามีหลายสำเนียงที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
หลายปีที่มีโอกาสประชุมต่างประเทศแม้ว่าจะไม่มากมายอะไร แต่ทุกครั้งพบว่านักวิชาการจากไทย ญี่ปุ่น หรืออินเดีย มีสำเนียงที่ผมแอบหัวเราะในใจแต่หัวเราะไม่ออกเมื่อพบว่าพวกเขาพูดกับฝรั่งรู้เรื่อง ทั้งบนเวทีประชุมหรืองานเลี้ยงค็อกเทล ในขณะที่ตัวผมเองเสียอีกที่พูดอะไรออกไปมีฝรั่งไม่เข้าใจเสียมาก สาเหตุหนึ่งเพราะตัวเองกังวลไวยากรณ์มากเกินไป ไวยากรณ์ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้จะเขียนถึง
สมมติว่าคุณพ่อคุณแม่หมดใจ พูดง่ายๆว่าผมเชียร์อย่างไรก็ไม่ขึ้น คุณแม่กุ้งให้กำลังใจเท่าไรก็ไม่เอา ทุนก็ไม่มี พื้นฐานก็ไม่มี แม้กระทั่งเวลาก็ไม่มี ผมขอใช้เนื้อที่ตรงนี้เรียนย้ำและให้กำลังใจว่าภาษาแม่สำคัญที่สุดอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นหาเวลาอย่างน้อย 30 นาทีทุกคืนอ่านนิทานก่อนนอนภาษาไทยให้ลูกฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ ภาษาแม่ที่ดีนำไปสู่โครงสร้างภาษาในสมองที่ดี แล้วโครงสร้างภาษาในสมองที่ดีนั้นเองจะช่วยให้เขาเติมภาษาที่สองได้ไม่ยากเมื่อสบโอกาสดังที่ลูกสองคนของผมประสบ
ภาษาเป็นสัญลักษณ์ คือ symbol โครงสร้างภาษาในสมองเป็นระบบสัญลักษณ์ คือ symbolization ดังนั้นอย่ากังวลว่าเราว่างเปล่า เพราะภาษาสร้างขึ้นจากความว่างเปล่าอยู่ก่อนแล้ว จึงมีคำกล่าวว่าหนังสือนิทานที่เหมาะสมมีภาษาเดียวก็พอเพื่อให้เด็กได้เห็นลายเส้นอักขระ และได้ยินเสียงระบบเดียวโดยไม่ถูกรบกวน
ผมพูดเสมอด้วยว่าการเล่นสมมติหรือบทบาทสมมติ (pretend play &role play) เป็นการละเล่นที่พัฒนาภาษาได้ดีมากที่สุด เหตุหนึ่งเพราะระหว่างที่เล่นคุณพ่อคุณแม่ต้องพูดด้วยเสมอ นั่นสมมติเป็นนี่ นี่สมมติเป็นนั่น เด็กจะพูดตามโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราพูดภาษาอังกฤษระหว่างเล่นสมมติจึงได้ประโยชน์สองต่อ อีกเหตุหนึ่งเป็นไปตามที่คุณแม่กุ้งเขียนเอาไว้ตอนหนึ่งว่าในบ้านที่มีญาติหลายคน การจัดสถานที่และเวลาให้มีการพูดภาษาอังกฤษเต็มร้อยหนึ่งช่วงเวลาเป็นประจำช่วยได้มาก เช่น ในห้องน้ำระหว่างทำกิจกรรมกับลูกร่วมกัน เป็นต้น อีกตัวอย่างหนึ่งคือในสถานที่ที่เราเล่นบทบาทสมมติเป็นภาษาอังกฤษกับลูกสองต่อสอง ภาษาเป็นสิ่งสมมติตั้งแต่แรก มันไม่เคยมีมาก่อนจนกระทั่งคนแต่ละชาติสมมติมันขึ้นมา คนไทยและคนอังกฤษสมมติลายเส้นของภาษาและวิธีออกเสียงที่ต่างกัน ไม่มีใครผูกขาดตัวภาษาได้จริงๆ อย่างมากก็ทำได้แค่รักษาสำเนียงของภาษาแม่เอาไว้เท่านั้น
จะเห็นว่าความรู้เรื่องภาษาเป็นเรื่องซับซ้อน ปัญหาคือเราถูกทำให้เชื่อว่ามันซับซ้อนเกินกว่าที่ใครจะพูดเองได้โดยไม่ต้องเรียน แม่กุ้งได้ใช้ความพยายามอธิบายตั้งแต่ช่วงแรกของหนังสือว่าภายใต้ความซับซ้อนที่เราเห็นเป็นเพียงเปลือกนอก แท้จริงแล้วมันมิได้ซับซ้อนมากเพียงนั้น
ขอให้สื่อสารได้คือใช้ได้เท่านั้นเองประสบการณ์ในวัยเยาว์ที่แม่เองได้เรียนภาษาอังกฤษตอน ป.5 แน่ะ ทำให้อ่อนด้อยในภาษานี้เหลือเกิน ตอนแรกก็รู้สึกเก่งในมุมของตัวเอง ไวยากรณ์ได้ ศัพท์ได้ แต่ทำไมพูดไม่เก่ง ... เพราะฉันไม่กล้า เจอฝรั่งทีไร ก็ต้องวิ่งหนี 4x100 ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่???? ทำได้แค่เพียง พอจะอ่านออก เขียนได้ สอบผ่าน แต่ไม่กล้าพูดค่ะ จึงไม่อยากให้ลูกมีประสบการณ์แบบตัวเองเช่นกัน .... ????#ภาษาอังกฤษแม้ไม่ใช่ภาษาแม่ แต่ถ้าอ่านออก เขียนได้ และพูดคล่อง น่าจะได้เปรียบมากในยุคปัจจุบัน .... ✖️สิ่งที่เป็นอุปสรรคในบ้านที่พ่อแม่เองก็ไม่เก่งและไม่คล่องกับภาษาอังกฤษ หมอคิดว่า 1. ไม่มีความมั่นใจที่จะพูด หรือแม้แต่จะอ่านให้ลูกฟัง 2. เก้ๆกังๆ ง่า ออกเสียงถูกมั้ยนะ 3. งั้นรอก่อนดีกว่า จึงยังไม่ได้เริ่มเสียที T T
⭐️อายุแรกเกิด-7 ปี #เวลาทองในการฝึกภาษาอังกฤษให้ลูกน้อย ดร.แพทริเซีย คัห์ล (Dr.Patricia Kuhl) แห่ง มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เผยผลจากงานวิจัยว่า “มนุษย์เราสามารถเรียนรู้ภาษาต่างประเทศได้ดีที่สุดในช่วงอายุแรกเกิด-7ปี”
⭐️การจะฝึกลูกเป็นเด็ก 2 3 4... ภาษา เราสามารถเริ่มได้เลย เมื่อพร้อม #ยิ่งเริ่มไวก็ยิ่งดี พัฒนาการด้านภาษาของลูกพัฒนาการมากสุดในช่วง 7 ขวบปีแรก แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สายที่จะเรียนรู้แน่นอนค่า
⭐️มาเริ่มต้นจากตัวเองก่อน เรียนรู้และฝึกฝนไปพร้อมกับลูก อ่านนิทาน พูดคุยประโยคง่ายๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ลูกค่อยๆเรียนรู้และจดจำ ศัพท์บางคำแม่ก็เพิ่งรู้ความหมายและการออกเสียงที่ถูกต้องตอนอ่านกับลูกเช่นกันค่ะ 555 แอบไปเปิดคำศัพท์ คำอ่าน และการออกเสียงในกูเกิ้ล ...
เมื่อได้มีโอกาสมาอ่านและเรียนรู้จากหนังสือของแม่กุ้ง ✔️ก็เป็นแรงบันดาลใจให้หมอมากๆเลย✔️แค่อ่านคำนำ ก็รู้สึกอิน ได้กำลังใจมาเต็มๆ
✔️มีตัวอย่างประโยค ใช้คำง่ายๆ จัดหมวดหมู่ให้อย่างชัดเจน
✔️ที่สำคัญมีสำเนียงการออกเสียงให้เลียนแบบด้วยค่ะ ครบจบในที่เดียว ....
???? คำถามที่หมอเจอบ่อยในช่วงนี้ เพราะทุกวันนี้ ภาษาอังกฤษ สำคัญมากจนแทบจะเรียกว่า เป็น"ประตูสู่โอกาสของอนาคตลูก" เลยก็ได้
???? หมอยืนยันว่า พ่อแม่ไม่เก่งอังกฤษ ก็สามารถเลี้ยงลูกสองภาษาได้ค่ะ ????
???? #แม่กุ้ง เป็นหนึ่งในตัวอย่างของคุณแม่ที่ไม่ได้เก่งอังกฤษเลย แต่สามารถประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกสองภาษา และได้นำเคล็ดลับเหล่านี้มาแบ่งปันให้พ่อแม่ท่านอื่น ซึ่งหมอเชื่อว่า แม่กุ้งยังเป็นแรงบันดาลใจที่ดีสำหรับพ่อแม่ที่ไม่ได้เก่งอังกฤษเลยเช่นเดียวกันได้
???? สิ่งที่แม่กุ้งย้ำเสมอ คือเรื่อง"ความสุขของลูก" ซึ่งเป็นจริงที่สุดตามหลักการเรียนรู้ของสมองค่ะ เพราะถ้าลูกไม่มีความสุข ไม่สนุกกับมัน สมองจะเรียนรู้สิ่งนั้นได้ไม่ดี จดจำได้ไม่นาน และต่อยอดได้ไม่ดี แต่ .. จะมีความสุขยังไง? ให้ได้ความรู้ และมีสาระ แม่กุ้งมีคำตอบให้ในหนังสือแล้ว
???? สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ยังกลัวอยู่ ไม่กล้าเริ่มฝึกพูดภาษาอังกฤษ กลัวพูดผิด กลัวออกเสียงได้ไม่ดี .. แม่กุ้งแนะนำว่าเราแค่ "เดินนำหน้าลูกหนึ่งก้าว" พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเก่ง ไม่ต้องมีไวยากรณ์ที่เพอร์เฟค ไม่จำเป็นต้องออกเสียงเป๊ะทุกคำ เราแค่นำหน้าลูกเพียงหนึ่งก้าว เพื่อสอนเค้าให้ก้าวตาม .. ก็เพียงพอแล้ว
???? ขอบคุณหนังสือดีๆ ที่นอกจากสอนภาษาสำหรับพ่อแม่ ยังได้เคล็ดลับและแรงบันดาลใจดีๆ จากแม่คนหนึ่งที่ไม่เก่งอังกฤษเลย แต่วันนี้สามารถมาเขียนหนังสือวิธีเลี้ยงลูกสองภาษาได้
???? นอกจากนี้ยังมี web app ที่สะดวก สามารถเซิร์ชหาคำ และการออกเสียงที่ถูกต้องได้เลย บนมือถือ เซิร์ชได้ทันที ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งอันนี้หมอชอบมาก
# เพราะวันนี้ ภาษาที่สองไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป# เพื่ออนาคตของลูก
# ก้าวนำลูกเพียงหนึ่งก้าว เพื่อให้ลูกเดินตามเรามา ก็เพียงพอแล้ว ❤️
#ปั้นครอบครัว2ภาษา
#พ่อแม่ไม่เก่งภาษาก็ทำได้
#โค้ชแม่กุ้ง
ปัจจุบัน ปี 2021 เป็นยุคแห่งเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีได้ก้าวไปไกลมาก เทียบกับสมัยที่เราเป็นเด็กๆ ไม่ได้เลย งานหลายๆ อย่างทำสำเร็จได้ด้วยเพียง smart phone เครื่องเดียว เช่นเดียวกับการติดต่อสื่อสาร ซึ่งไม่มีพรมแดนมาจำกัด ผู้คนทั่วทุกมุมโลกสามารถติดต่อสื่อสารได้ เพียงปลายนิ้ว ดังนั้น ภาษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เกิดการลื่นไหลในการสื่อสาร เราทุกคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาสากลที่ผู้คนใช้ติดต่อสื่อสารกันมากที่สุดในโลก หากใครสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษพอได้ หรือได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว จะได้เปรียบคนอื่นๆ อย่างมหาศาล แต่หลายคน คงประสบพบเจอกับปัญหาโลกแตก คือพวกเราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ระดับประถม จนจบมหาวิทยาลัย แต่เรากลับสื่อสารภาษาอังกฤษกันไม่ได้ นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะเราไม่รู้จะไปพูดกับใครหรือเปล่า เรียนที่โรงเรียน กลับมาบ้านก็พูดแต่ภาษาไทยอยู่ดี กลับไปเรียนวิชาภาษาอังกฤษอีกที หนึ่งสัปดาห์ถัดไป ก็พบว่า เราลืมสิ่งที่เรียนมาหมดแล้ว
ดังนั้น การเรียนภาษาอังกฤษที่ดี คือการฝึกฝน และนำไปใช้ ไม่ใช่แค่ท่องๆ อยู่แต่ในตำรา และคงจะดีมากหากเราเริ่มมันในครอบครัว
หนังสือ "ปั้นครอบครัว 2 ภาษา พ่อแม่ไม่เก่งภาษาก็ทำได้" ของแม่กุ้งเล่มนี้ ผมได้อ่านจนจบแล้ว พบว่าเป็นคู่มือที่ดีมากๆ เล่มนึงเลยทีเดียว ที่แม่กุ้งได้ตีโจทย์แตก ถึงปัญหาที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ในหนังสือเล่มนี้แม่กุ้งได้อธิบายว่า เราจะสามารถสอนลูกอย่างไรให้เก่งภาษา พร้อมกับความสุข ทั้งจากตัวลูกที่ไม่ถูกกดดันจนเกินไป และพ่อแม่ที่ไม่รู้สึกกดดันตัวเองเช่นกัน และการเริ่มสอนภาษาอังกฤษในครอบครัว ให้กับลูกตั้งแต่วัยเตาะแตะ มักจะประสบความสำเร็จมากกว่ามาเริ่มตอนโต เพราะเด็กกำลังอยู่ในวัยเรียนรู้ ช่างจำ หากเราสอดแทรกภาษาอังกฤษทุกๆ วัน ทำซ้ำๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน จะทำให้เด็กจะมีความสุข และไม่รู้สึกว่ามันคือการถูกบังคับให้เรียนหนังสือ สุดท้าย หนังสือจะดีหรือมีประโยชน์ อยู่ที่ว่าเราได้อ่านและนำสิ่งที่เราเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้หรือไม่ แต่หากพ่อแม่ทุกท่านที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วนำไปปฏิบัติใช้กับลูกๆ ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะมีเด็กที่พูดภาษาอังกฤษได้เก่งขึ้น อีกหนึ่งคนอย่างแน่นอนครับ
หนังสือเล่มนี้ ได้รวมเนื้อหาการสอนลูกพูดภาษาอังกฤษกับพัฒนาการด้านการพูดไว้ด้วยกัน อ้างอิงข้อมูลต่างๆซึ่งบางข้อมูลเราก็อาจจะไม่เคยนึกถึง และเมื่ออ่านแล้วทำให้เราเห็นภาพของขั้นตอนต่างๆก่อนที่เราจะมีทักษะในการพูดภาษาใดภาษาหนึ่งออกมา และนำมาประยุกต์ใช้กับการสอนภาษาอังกฤษในเด็กไทยโดยพ่อแม่ ซึ่งเนื้อหาค่อนข้างละเอียด เมื่ออ่านจนเข้าใจแล้ว จะนำไปประยุกต์ใช้งานจริงและง่าย ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสที่ดีมากๆให้กับพ่อแม่ โดยเฉพาะพ่อแม่ที่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง หรือพ่อแม่ที่เคยทำแล้วท้อ หรือเหนื่อยกับการพยายามทำในสิ่งที่ยากเกินไป
หนังสือเล่มนี้ทำให้รู้ว่า การสอนลูกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนกลุ่มเล็กๆที่มีความพร้อมมากกว่าคนอื่นๆ แต่จริงๆแล้วคุณพ่อคุณแม่ทุกคนก็สามารถทำได้ ถ้ารู้วิธีที่ถูกต้อง
แม่กุ้ง เป็นผู้มีความสนใจเรื่องเด็กสองภาษามานานมากเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ยังไม่มีลูก(น้องกูเกิ้ล) ศึกษาข้อมูลทั้งในประเทศและต่างประเทศ มาถึงวันนี้ที่แม่กุ้งมีลูกเอง ประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งหมด ได้นำมาใช้ปฏิบัติจริงด้วยความตั้งใจ ทำให้สัมฤทธิ์ผลเป็นเด็กสองภาษา ที่น่ารัก และ หนังสือเล่มนี้ มีทั้งความรู้ทฤษฎี วิธีปฏิบัติที่ใช้ได้จริงและ (ใช้มาแล้ว) เป็นแบบอย่างและแนวทางให้คุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีความสุข
ในยุคปัจจุบันมีหลายครอบครัวที่กำลังพัฒนา สอนลูก 2 ภาษา เพื่อสร้างพื้นฐานให้กับลูกในอนาคต ซึ่งในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ อาจท้อหรือไม่ทราบว่าจะไปต่อทางไหนดีจึงอาจทำให้หยุดการสอนลูกให้เป็นเด็ก 2 ภาษาลงอย่างน่าเสียดาย หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมเนื้อหา ขั้นตอนและวิธีการสอน ที่สามารถทำให้คุณพ่อคุณแม่ ที่มีความสนใจในการสอนลูก 2 ภาษานำไปประยุกต์ใช้ ได้ประโยชน์จริงๆโดยที่ผู้เขียนนั้นได้แบ่งปันประสบการณ์โดยตรงที่ปฏิบัติจริง เห็นผลจริงมีข้อมูลทางวิชาการอ้างอิง
ดิฉันเป็นคุณแม่คนหนึ่งที่ต้องการสอนลูก 2 ภาษา เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วทำให้มีแนวทางในการจะทำให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษโดยที่แม่ก็มีความสุขลูกก็มีความสุข ทำให้รู้ว่าความสำเร็จในการสอนลูก 2 ภาษาไม่ได้จำกัดเฉพาะในบุคคลที่มีความรู้และเก่งภาษาอังกฤษเท่านั้นเราทุกคนสามารถทำได้
ครูได้เห็นน้องกูเกิ้ลตั้งแต่เล็กๆ น้องเก่งมาก พูดภาษาอังกฤษได้ตั้งแต่อายุไม่ถึง 3 ขวบ ซึ่งเป็นวัยก่อนเข้าอนุบาล น้องพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนเป็นภาษาที่ง่าย พูดคุยกับคุณแม่เป็นภาษาอังกฤษได้อย่างธรรมชาติ คล่องเหมือนพูดภาษาไทยเลย ซึ่งภาษาไทยน้องก็พูดเก่งตามวัยของเขาด้วยเช่นกัน
ครั้งแรกๆที่ได้เห็น ครูก็รู้สึกแปลกใจ ที่เห็นว่าน้องเข้าใจคำถาม และตอบโต้กับคุณแม่ได้อย่างเข้าใจ ยิ้ม หัวเราะ สนุกสนาน พอได้พูดคุยกับแม่กุ้งซึ่งเป็นคุณแม่ของน้องกูเกิ้ล ครูจึงเข้าใจ ว่าแม่กุ้งมีวิธีการสอนน้องอย่างไร โดยแม่กุ้งเข้าใจถึงเรื่องพัฒนาการของเด็ก จึงนำมาใช้กับการฝึกภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อให้เกิดพัฒนาการด้านภาษาได้อย่างเหมาะสมตามวัย และตอนนี้แม่กุ้งได้ถ่ายทอดความรู้ออกมาเป็นหนังสือ ซึ่งมีวิธีการให้คุณพ่อคุณแม่ปฏิบัติตามได้ง่าย ละเอียดเป็นขั้นเป็นตอน ด้วยภาษาที่อ่านง่าย จึงอยากแนะนำให้ผู้ปกครองทุกท่านที่อยากสอนลูกพูดภาษาอังกฤษให้เป็นเด็กสองภาษาอย่างสนุกและง่ายเป็นธรรมชาติ ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วเรื่องการสอนลูกพูดภาษาอังกฤษให้เป็นเด็กสองภาษาจะเป็นเรื่องง่ายมากเลยค่ะ
ในฐานะคุณแม่ลูก 2 อย่างเรา ต้องยอมรับเลยว่าอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกมาไม่ต่ำกว่า 10 เล่ม ยังไม่รวมถึง course online ต่างๆอีก แต่ประเด็นหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยจริงๆ คือ เรื่องของภาษาที่ 2 นั่นก็คือภาษาอังกฤษนั่นเอง ซึ่งบอกได้เลยว่าสำคัญไปไม่น้อยกว่าการสร้าง EF ที่เราควรเริ่มตั้งแต่เด็กๆเลย หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ถึงกับต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ว่าจริงๆแล้วภาษาอังกฤษไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่เราสร้างกำแพงมาตลอด เราสามารถสร้างลูก 2 ภาษาได้ด้วยตัวของคุณพ่อคุณแม่เองนี่แหละ จากที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องของการเรียนพิเศษ เป็นหน้าที่ของ teacher จึงส่งลูกไปเรียนกับคุณครูต่างชาติตั้งแต่เด็กๆ ต่อไปนี้ เราในฐานะคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดลูกที่สุดจะเป็นผู้สร้างลูก 2 ภาษา ได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญลูกก็จะมีความสุขด้วย ตามชื่อหนังสือเล่มนี้เลยค่ะ แนะนำจากใจจริงๆค่ะ
ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมีทักษะภาษาที่สองที่ดี โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ นับเป็นกุญแจสำคัญที่เปิดประตูโอกาสต่างๆ โดยเฉพาะกับเด็กๆ ใน generation ยุคใหม่นี้
ในฐานะที่เป็นคุณแม่มือใหม่ที่ยังขาดความมั่นใจในการสอนภาษาที่ 2 ให้แก่ลูก หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้สร้างความมั่นใจได้มากขึ้นว่า หากเรามีความพยายามเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูก ย่อมฝึกเด็ก 2 ภาษา ให้เกิดขึ้นได้ในครอบครัวของเรา เรียนรู้ภายใต้ความรักและความสนุกสนานไปพร้อมๆ กัน นอกจากจะสร้างทักษะด้านวิชาการแล้วยังเพิ่มพูนความรักความผูกพันภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
หนังสือเล่มนี้ แม่กุ้งเขียนและสื่อสารออกมาอย่างเข้าใจง่ายและใช้ได้จริง อีกทั้งยังมีตัวอย่างประโยคและกิจกรรมผ่านทาง E-book ประกอบการใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย นับว่าเป็นส่วนสำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับแม่ทุกท่านเลยค่ะ