ปัจจุบันมีหลายๆครอบครัวมากๆที่เริ่มสอนลูกให้พูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเองจากที่บ้าน เพราะโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น และทุกคนเห็นความสำคัญของการสื่อสารภาษาอังกฤษ ต่อไปจะมีเด็กไทยอีกมากมายที่พูดภาษาอังกฤษ ในชีวิตประจําวันแบบสื่อสารได้จริง โดยจุดเริ่มต้นจากการพูดคุยภาษาอังกฤษ ในชีวิตประจําวันของครอบครัวที่เริ่มจากที่บ้าน
จะเห็นว่าปัจจุบัน การสอนลูกพูดอังกฤษ ในชีวิตประจําวัน ไม่ได้จำกัดอยู่ในเฉพาะครอบครัวที่พ่อแม่เก่งภาษา เด็กนักเรียนนอก หรือครูภาษาอังกฤษเท่านั้น สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษแต่อยากจะปลูกฝังให้ลูกได้สื่อสารจริงๆในชีวิตประจำวันเป็นภาษาอังกฤษ ทำไมหลายๆครอบครัวเหล่านี้จึงตัดสินใจว่าต้องเริ่มสอนลูกพูดอังกฤษด้วยตนเองแม้ว่าตัวเองก็ไม่ได้เก่งภาษามากนัก บางคนไม่เก่งเลยด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุผลต่างๆที่กล่าวมา พ่อแม่คงต้องปรับตัวและเริ่มสอนลูกพูดอังกฤษในชีวิตประจําวัน เพื่อไม่ให้ลูกเสียโอกาสต่างๆในอนาคต มีหลายครอบครัวมากๆที่เคยลองแล้วหยุด ลองแล้วเหนื่อย ลองแล้วท้อ ลองแล้วไปต่อไม่ได้ ทั้งเสียเงินเสียเวลา แต่แล้วก็หยุด ไม่ใช่ว่าทุกครอบครัวจะสำเร็จในการสอนลูกพูดอังกฤษ ส่วนใหญ่ที่หยุดสอนลูกพูดอังกฤษไปก่อนกลางคันที่ลูกจะพูดได้สื่อสารได้ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะเรายังปรับความคิด(mindset)ของตัวเองยังได้ไม่ดีนัก ทำให้เราไม่มั่นคงพอที่สอนลูกพูดอังกฤษได้ โดยเฉพาะคนที่ไม่เก่งภาษา จะค่อนข้างมีแรงกดดันเยอะ (ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นปัญหาในการสอนลูกพูดอังกฤษ ถ้าเราปรับความคิด ให้เหมาะสมกับครอบครัวตัวเองมาดีแล้ว) เช่น
สำเนียง อยากให้เหมือน 100 ตั้งแต่เริ่ม แค่คิดก็ท้อแล้ว ซึ่งมันยังไม่จำเป็น ถ้าเราไม่เก่งภาษาสอนลูกพูดอังกฤษ เราต้องการแค่ความชัดและสื่อสารรู้เรื่องก่อน เมื่อลูกพูดภาษาอังกฤษได้แล้ว ลูกสามารถไปต่อยอดให้ดีขึ้นได้เอง ต่อไปเราจะตามลูกไม่ทันด้วยซ้ำ
อายชาวบ้าน ป้าข้างบ้าน คนในห้าง แม่ค้าร้านข้าว เวลาสอนลูกพูดอังกฤษ ก็เริ่มจากในบ้านก่อน มีอะไรให้พูดเยอะแยะในบ้าน ถ้าพูดในบ้านได้แล้ว พอไปพูดนอกบ้านเราจะมั่นใจขึ้น ไม่อาย อย่าเพิ่งไปอยากพูดทุกอย่างบนโลกนี้กับลูก มันเริ่มยากสำหรับคนไม่เก่งภาษาอย่างเรา
อายชาวบ้าน ป้าข้างบ้าน คนในห้าง แม่ค้าร้านข้าว เราว่าเรามั่นใจและพูดภาษาอังกฤษกับนอกบ้านได้แล้ว แต่ก็ไม่วายมีคนติเตียน นินทา มองแปลกๆ ว่าเราพูดไม่ดี สำเนียงไม่ดีบ้างหละ สอนลูกพูดอังกฤษไม่ได้หรอกบ้างหละ อายในสิ่งที่คนอื่นมองแม่หรือมองพ่อเวลาเจอคนอื่นๆที่ไม่เข้าใจ กลับมาที่ mindset อีกครั้ง ยิ้มอ่อนๆและคิดในใจ ช่างพวกคุณเถอะจะมองเราว่าอย่างไร เราไม่อยากให้ลูกเป็น 1 คนที่โดนตัดโอกาสเพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ในอนาคต ลูกเราควรจะมีโอกาสอีกมากมายรออยู่ข้างหน้าสิ นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่แม่จะให้หนูได้ แม่ไม่ได้มีเงินเป็นแสนเป็นล้านส่งหนูเรียนโรงเรียนอินเตอร์ดีๆได้ แต่มันก็ไม่ใช่การปิดโอกาสในการพูดภาษาอังกฤษได้ของลูก นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้เพื่อคนที่เรารักที่สุด เพราะฉะนั้นอย่าได้ใส่ใจ หรือใส่ใจตามสมควรก็พอ
ไขว้เขว เพราะคำคนอื่น เช่น สอนลูกพูดภาษาอังกฤษยังไง ลูกพูดไม่เห็นชัดเลย สำเนียงลูกไม่เห็นดีเหมือนครอบครัวนั้นเลย แม่บ้านนี้เรียนจบเมืองไทยล้วนๆไม่เคยย่างกลายไปไหนเลย ฝรั่งสักคนยังไม่เคยพูดด้วยจริงๆจังๆเลย เอาลูกเราไปเทียบกับลูกพ่อแม่เด็กนักเรียนนอก เพื่อ!? คงเพื่อให้เรารู้สึกแย่เฉยๆนี่แหละมั้งเค้าคงไม่ได้คิดมากอะไร เพราะฟังแล้วก็ไม่ได้มีประโยชน์สักเท่าไหร่กับเรา ถึงแม้ว่าบางคนจะหวังดีลึกๆกับการสอนลูกพูดภาษาอังกฤษของเราก็เถอะ ขออีก 1 ตัวอย่าง อื้อหือลูกพูดได้เป็นคำๆเอง ยังไม่เห็นเป็นประโยคเลย ลูกเราเพิ่ง 1 ขวบ เราอย่าไปเสียความมั่นใจ 1 ขวบ พูดเป็นคำๆ ถูกต้องตามพัฒนาการแล้ว อ่านและทำความเข้าใจสิ่งที่ลูกทำได้เยอะๆแล้วเราจะรู้ว่าลูกเราปกติ และรอดูว่าต่อไปลูกจะทำอะไรได้อีก ข้อมูลแน่นเราจะไม่ไขว้เขว เราจะไม่เลิกล้มการสอนลูกพูดภาษาอังกฤษง่ายๆ
จริงๆแล้วเราโชคดีนะที่จะมาเริ่มสอนลูกพูดภาษาอังกฤษตอนนี้ เพราะข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับการสอนลูกพูดภาษาอังกฤษมีให้เราอ่าน เราศึกษาเยอะมาก และการสอนลูกพูดภาษาอังกฤษก็แพร่หลายขึ้น มีคนสอนลูกพูดภาษาอังกฤษเยอะขึ้นจนจะเป็นเรื่องงปกติแล้ว เราก็จะไม่ค่อยอายมากเหมือนเมื่อก่อน คนอื่นๆก็จะเข้าใจมนุษย์พ่อมนุษย์แม่ที่สอนลูกพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น หรืออีก 1 อย่างที่ทำให้เราสอนลูกได้ง่ายขึ้น คือประโยคต่างๆที่เมื่อก่อนเป็นปัญหาใหญ่ของคนไม่เก่งภาษาในการเริ่มสอนลูกพูดภาษาอังกฤษเลย ก็มีให้เราค้นคว้าหรือหาซื้อได้ง่ายขึ้น และมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาให้คุณพ่อคุณแม่นำประโยคไปใช้พูดกับลูกได้ง่ายขึ้น ตามลำดับความต้องการของผู้ใช้งานดังนี้
จะเห็นว่าทุกอย่างมีการพัฒนาไม่หยุดเลย มันง่ายขึ้นมาก ตอนนี้ถ้าเราจะเริ่มสอนลูกพูดภาษาอังกฤษ ในชีวิตประจําวัน คงไม่ใช่เรื่องยากเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป เราต้องเริ่มที่การปรับ mindset เพื่อให้เห็นเป้าหมายที่ชัดเจน เราจะได้ไม่ไขว้เขว เลือกสอนวิธีที่เหมาะกับครอบครัวเรา ไม่ทำแบบเครียดเกินไป มิฉะนั้นเราจะได้แค่เริ่มสอนลูกพูดภาษาอังกฤษแต่ทำต่อไม่ไหว ไม่หวังสูงเกินบริบทของตัวเอง เพราะสุดท้ายสิ่งที่เราต้องการที่สุดคือลูกเราสื่อสารภาษาอังกฤษได้จริงในชีวิตประจำวัน หลังจากนั้นลูกอยากจะไปไกลแค่ไหนไม่ได้ขึ้นอยู่กับลูกจะไปต่อเองแล้วค่ะ
ใครๆก็อยากพูดภาษาอังกฤษได้ และเราพ่อแม่อย่างเราก็อยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษได้ใช่ไหมคะ แต่ว่าส่วนใญ่การเรียนที่โรงเรียนลูกมักไม่มีโอกาสได้พูดเท่าไหร่นัก ทำให้ลูกไม่ได้พูด ทำให้สื่อสารจริงไม่ได้ เราอยากจะมีพื้นที่ให้ลูกได้ใช้ภาษาอังกฤษแบบสื่อสารจริง เพื่อให้เกิดการทักษะการพูดจริงๆ แต่
ส่งไปเรียนพิเศษเน้นพูดเลยนะ แต่ว่าแต่ละคลาส เด็กก็เยอะอยู่ดี ลูกไม่ได้พูดเยอะอยู่ดี แล้วใครจะพูดภาษาอังกฤษกับลูกต่อดีล่ะ ก็คงไม่พ้นพ่อแม่ที่ต้องนำสิ่งที่ลูกเรียนมาพูดกับลูกเองเพิ่มชั่วโมงบิน ถ้าอยากให้ลูกพูดคล่อง เราก็ต้องพูดภาษาอังกฤษกับลูก
จ้างครูสอนตัวต่อตัว สัปดาห์นึงแค่ 2-3 ชั่วโมง คงไม่พอ ถ้า 5-6 วันเหลือที่ไม่ได้เรียนลูกไม่ได้ฝึกพูด เดี๋ยวก็ลืม จะพูดทีนึงก็ต้องนึกก่อนเหมือนทำข้อสอบ อาจจะจำได้แหละแต่ต้องนึก พูดไม่คล่อง ตอบสนองทันทีแบบคุยปกติไม่ได้ และที่แย่กว่านั้นคือจำไม่ได้ นึกก็ไม่ออก แล้วใครจะพูดภาษาอังกฤษกับลูกต่อในวันที่เหลือที่ไม่มีใครคุยด้วยเพื่อให้ลูกพูดคล่อง ไม่ลืม ก็คงไม่พ้นพ่อแม่อีกแล้ว เราอีกนั่นแหละที่ต้องพูดภาษาอังกฤษกับลูก
จ้างครูสอนตัวต่อตัวทุกวัน คุ้มมั้ยกับสิ่งที่ต้องแลกมากับการที่จะหาใครสักคนมาพูดภาษาอังกฤษกับลูก เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา และสายสัมพันธ์ที่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างเรากับลูก หัวข้อนี้สำคัญนะคะ เราส่งลูกไปไหนต่อไหนเอาเวลาที่เราควรได้ใช้ร่วมกันอย่างมีคุณภาพอย่างมีความสุข ใช้เวลาอย่างสิ้นเปลืองไปกับการยัดเยียดสิ่งที่เราอยากเห็นผลลัพธ์จากลูกโดยการส่งลูกไปที่อื่น ทั้งๆที่เราก็ทำได้ รู้ตัวอีกที เราอาจจะมีเวลาคุยกับลูกน้อยกว่าคนอื่น รู้ตัวอีกทีลูกไม่ได้อยู่ในวัยที่ต้องการเราที่สุดอีกต่อไปแล้ว
จะดีกว่ามั้ย ถ้าเราจะพูดภาษาอังกฤษกับลูก ทำได้ที่บ้าน ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องขับรถไปส่ง ไม่ต้องเสียเงินเดือนนึงหลายๆหมื่น ทำด้วยวิธีที่มีความสุข ใช้เวลาที่มีค่าของเรากับการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับลูก พ่อแม่มีตัวตนอยู่กับลูกเสมอ โดยที่ลูกไม่รู้สึกว่านี่คือการเรียน ลูกได้ใช้ทักษะการสื่อสารที่แท้จริง และที่สำคัญเราจะรู้ว่าเรื่องไหนที่เราจะได้พูดกับลูกบ่อยๆ เรื่องไหนที่ลูกชอบและชวนคุยได้ง่าย ต่อให้เราส่งลูกไปเรียนที่อื่นและเรายินดีที่จะมาพูดกับลูกต่อที่บ้าน แต่บทเรียนก็ไม่ได้ตอบสนองครอบครัวเราแค่ครอบรัวเดียว จึงเป็นเรื่องยากที่จะมาฝึกพูดกับลูก เพราะประโยคที่เรียนมาไม่ใช่ประโยคที่เราได้ใช้กับลูกจริงๆ หรือได้ใช้ก็ไม่บ่อย
ด้วยเหตุผลต่างๆทั้งหมดนี้ ถ้าเริ่มพูดภาษาอังกฤษกับลูกเองทีบ้าน เราจะไม่เสียเวลาไปเรียนในสิ่งที่ไม่ได้พูด ลูกจะพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ได้มากกว่า เพราะคำว่ายัดเยียดจะหมดไป ดังนั้นเรื่องนี้จึงง่ายขึ้นเยอะ เพราะเราอกแบบเองใช้เอง จากที่เรียนมา 80 ใช้จริงที่บ้านได้แค่ 10 เท่านั้น ต่อไปเราจะเรียนแค่ 10 และใช้แค่ 10 และ 10 นี้ที่ได้ใช้จริง จะเป็น 10 ที่มีคุณภาพมากๆ และต่อยอดเป็น 20-30-40 ได้ไปถึง 100 ไม่ยาก และไม่ลืม
คุณพ่อคุณแม่น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว ว่าการพูดภาษาอังกฤษกับลูก มันไม่ได้เริ่มยาก เราเริ่มได้เองที่บ้าน และสำหรับคนที่ไม่เก่งภาษาก็หาประโยคในการพูดกับลูกง่ายขึ้น วันนี้เราจะมาดูวิธีเลือกหาประโยคมาใช้กับลูกสำหรับคนที่ไม่เก่งภาษากัน เรียงลำดับจากยุคแรกๆที่มีจนพัฒนาการจนถึงปัจจุบันนะคะ
ยุคแรกๆ มีการรวบรวมประโยคที่ใช้กับลูกไว้พอสมควร ควรเลือกที่เราได้ใช้จริงๆกับลูก แต่คำอ่านไทยจะไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ พออ่านตามเสียงจึงไม่เหมือนเป็นคนละคำไปเลย เช่น คำว่า dragon คุณพ่อคุณแม่หลายท่านน่าจะมาจากยุคเดียวกัน ที่เราจะอ่านกันว่า “ดรา-ก้อน” ซึ่งมันคนละเสียงคนละคำกันไปเลย
สรุป ถ้าเราเป็นคนนึงที่ไม่เก่งภาษา แต่ต้องการให้ลูกพูดภาษาอังกฤษได้คล่องจากที่บ้าน เราควรจะต้องพูดภาษาอังกฤษกับลูก เราควรเลือกหาแหล่งรวมประโยคที่ใช้พูดกับลูกในชีวิตประจำวันที่มีคุณสมบัติดังดังนี้
@2pasafamily ลูกสาวสอนแม่ไปลูกผัก ตอนนี้ตายเรียบ ♬ เสียงต้นฉบับ - แม่กุ้งสอนลูกพูดอังกฤษ
ทำไมพ่อแม่ควรฝึกพูดภาษาอังกฤษกับลูก รู้แล้วอย่ารอช้า
คุณพ่อคุณแม่รู้ไหมว่า เราเสียเวลาคุณภาพและเงินทองไปกับการไปรับไปส่งลูกเรียนพิเศษหรือส่งลูกเรียนโรงเรียนแพงๆไปปีหนึ่งๆไปเท่าไหร่ กี่หมื่นกี่แสน และที่สำคัญวัยเด็กของลูกที่เวลาส่วนใหญ่ควรจะได้อยู่อย่างอบอุ่นกับครอบครัวได้หายไปเพราะการศึกษา เพราะในปัจจุบันการแข่งขันด้านการศึกษาสูงมาก และหนึ่งในสิ่งสำคัญนั้นๆคือ ภาษาอังกฤษ ที่ไม่ใช่แค่การทำข้อสอบ แต่เป็นการพูดภาษาอังกฤษ สื่อสารภาษาอังกฤษ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ทั่วๆไปส่วนใหญ่ยังคิดว่าควรส่งให้สถานบันหรือครูเป็นคนสอนลูกพูดภาษาอังกฤษจะดีกว่า แต่จริงๆแล้วรู้ไหมว่า ต่อให้เราไม่เก่งภาษาก็ตามเราทำได้ และบริบทของพ่อแม่ที่ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกเอื้อให้เราสอนลูกพูดอังกฤษได้ง่ายกว่า เรามีเวลาและสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เราสอนลูกพูดอังกฤษอย่างเป็นธรรมชาติได้ดีกว่าที่โรงเรียน เพราะเหตุผลสำคัญของการสื่อสารไม่ว่าจะภาษาใดก็ตาม คือ การที่เราจะสอนลูกพูดอังกฤษ จนลูกสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ลูกต้องได้พูดออกมาบ่อยๆในสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจริง บ่อยมากพออย่างสม่ำเสมอ ซึ่งตรงกันข้ามกับการท่องจำโดยสิ้นเชิง และปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆพัฒนากว่าเมื่อก่อนเยอะ โลกแคบลง ฝรั่งไม่ได้อยู่ไกลตัวอีกต่อไป จึงไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปที่จะทำให้ที่พ่อแม่ไม่เก่งภาษาจะฝึกพูดภาษาอังกฤษกับลูกได้ ไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่พลาด ไม่อยากให้เสียโอกาสในการสอนลูกพูดภาษาอังกฤษ เราว่าดูกันชัดๆว่าทำไมเราจึงควรสอนลูกพูดอังกฤษด้วยตัวเองกัน
รู้แบบนี้แล้ว เรามาเริ่มฝึกพูดภาษาอังกฤษกับลูกกันเถอะค่ะ ภาษาอังกฤษไม่ใช่เรื่องไกลตัวโดยเฉพาะรุ่นลูกของเรา พ่อแม่ไม่เก่งภาษาหลายๆครอบครัวสอนลูกพูดภาษาอังกฤษได้ เราก็ต้องทำได้เช่นกัน เทคโนโลยีที่ตอนเรายังเด็กไม่มี แต่ตอนนี้มีแล้ว ใช้ให้คุ้มใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ยากอย่างที่คิดถ้ารู้วิธีและลองได้เริ่ม สู้ๆๆๆๆ